คลินิก ANC

การฝากครรภ์ และขั้นตอนการฝากครรภ์

การฝากครรภ์ หมาย ถึง การดูแลการตั้งครรภ์ของสตรีมีครรภ์ และทารกในครรภ์ โดยใช้ความรู้ทางการแพทย์ในด้านร่างกาย อารมณ์ และสังคมของหญิงตั้งครรภ์ เพื่อเฝ้าระวัง และติดตามความผิดปกติที่เกิดขึ้นขณะตั้งครรภ์ รวมทั้งการใก้ความรู้ และคำแนะนำที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติตนขณะตั้งครรภ์ โดยมีการนัดตรวจติดตามสุขภาตลอดระยะการตั้งครรภ์

การฝากครรภ์ตามเกณฑ์ หมายถึง การมารับบริการตรวจครรภ์เป็นระยะจนกระทั่งคลอด โดยองค์การอนามัยโลกกำหนดไว้้ว่า หญิงตั้งครรภ์ควรได้รับการตรวจครรภ์อย่าง น้อย 4 ครั้ง ขึ้นไปตลอดระยะการตั้งครรภ์จึงจะเป็นไปตามเกณฑ์การฝากครรภ์

จุดประสงค์การฝากครรภ์
• เพิ่มอัตราการตั้งครรภ์ และการคลอดปกติ
• ส่งเสริมคุณภาพร่างกาย และจิตใจของมารดาระหว่างการตั้งครรภ์
• วินิจฉัยภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นขณะตั้งครรภ์ พร้อมค้นหาสาเหตุ และหาแนวทางการแก้ไข
• ป้องกัน และลดอาการแทรกซ้อนระหว่างการตั้งครรภ์
• เพื่อคัดกรองโรค
• เพื่อลดอัตราการตายของมารดา และทารกในครรภ์ เช่น การคลอดผิดปกติ การเสียเลือด การติดเชื้อ การคลอดก่อนกำหนด เป็นต้น
• เพื่อช่วยให้ทารกคลอด และมีสุขภาพร่างกายที่สมบูรณ์
• ให้คำแนะนำเกี่ยวกับหลักการปฏิบัติตนระหว่างการตั้งครรภ์ในด้านสุขศึกษา โภชนาการ การเปลี่ยนแปลงของร่างกาย ความผิดปกติจากการตั้งครรภ์เพื่อลดความกังวล และส่งเสริมสุขภาพขณะตั้งครรภ์

ระยะการตรวจครรภ์
กระทรวงสาธารณสุขได้กำหนดแนวทางของช่วงระยะการเข้ารับการตรวจครรภ์ไว้ดังนี้
• ครั้งที่ 1 ในช่วงอายุครรภ์ 1-27 สัปดาห์
• ครั้งที่ 2 ในช่วงอายุครรภ์ 28-31 สัปดาห์
• ครั้งที่ 3 ในช่วงอายุครรภ์ 32-35 สัปดาห์
• ครั้งที่ 4 ในช่วงอายุครรภ์ตั้งแต่ 36 สัปดาห์ ขึ้นไป

จำนวนครั้ง และความถี่การนัดตรวจครรภ์ตามคลีนิกหรือสถานพยาบาล ซึ่งโดยทั่วไปจะใช้หลักเกณฑ์ ดังนี้
– อายุครรภ์ไม่เกิน 28 สัปดาห์ ให้นัดทุก 4 สัปดาห์
– อายุครรภ์ระหว่าง 28-36 สัปดาห์ ให้นัดทุก 2 สัปดาห์
– อายุครรภ์ตั้งแต่ 37 สัปดาห์ ขึ้นไป ให้นัดทุก 1 สัปดาห์

กิจกรรมขณะฝากครรภ์
การฝากครรภ์ครั้งแรก
โดยแนะนำให้มาฝากครรภ์ทันทีหลังทราบการตั้งครรภ์ และควรเป็นการฝากครรภ์ในช่วงอายุครรภ์ 1-27 สัปดาห์ โดยมีวัตถุประสงค์ คือ
– การประเมินอายุครรภ์ที่แน่นอน
– การประเมินความเสี่ยงทั้งทางด้านร่างกาย และจิตสังคมของหญิงตั้งครรภ์ โดยการซักประวัติ และตรวจร่างกาย
– การประเมินความเสี่ยงในด้านต่างๆของทารกในครรภ์ โดยการตรวจร่างกายของมารดา และทารกในครรภ์
– การให้คำแนะนำที่เกี่ยวข้องกับการฝากครรภ์ และข้อปฏิบัติที่ดีขณะตั้งครรภ์

การฝากครรภ์ ครั้งที่ 2-4 
เป็นการฝากครรภ์ที่มีอายุครรภ์ตั้งแต่ 28 สัปดาห์ ขึ้นไป จนถึงการคลอด เพื่อติดตามการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นขณะตั้งครรภ์ และติดตามความผิดปกติขณะตั้งครรภ์โดยมีกิจกรรมการดูแลหญิงตั้งครรภ์ ดังนี้
– การตรวจปัสสาวะ
– การชั่งน้ำหนัก
– การวัดความดันเลือด
– การตรวจวิเคราะห์เลือด
– การให้วัคซีน
– การตรวจอัลตร้าซาวด์เพื่อตรวจอายุครรภ์ และการยืนยันเพศทารก รวมถึงตรวจสภาพความผิดปกติของทารกในครรภ์
– การวางแผนการคลอด และให้คำแนะนำการปฏิบัติตนขณะตั้งครรภ์

  1. การซักประวัติ

    การซักประวัติส่วนตัว ประกอบด้วย

    – อายุ

    – อาชีพ

    – ประวัติการเจ็บป่วยในอดีต

    – ประวัติการใช้ยา และแพ้ยา

    – ประวัติการคุมกำเนิด

    – โรคทางพันธุกรรม และโรคติดต่อ

    – ประวัติการตั้งครรภ์ การคลอด

    – ประวัติการแท้ง และการขูดมดลูก

    – ความผิดปกติระหว่างตั้งครรภ์

    – ประวัติทารกดิ้น และประวัติการใช้ยา

    – ประวัติการคลอดครั้งก่อนๆ และจำนวนครั้งของการตั้งครรภ์

    – ประวัติการคลอดก่อนกำหนด

    – ภาวะแทรกซ้อนระหว่างการตั้งครรภ์ และการคลอด

    – ระยะเวลาของการคลอดแต่ละครั้ง และการนอนโรงพยาบาล

    – ภาวะของเด็กหลังคลอด น้ำหนักแรกเกิด การเจริญเติบโตของเด็ก

    – การผ่าตัดเกี่ยวกับมดลูก รวมทั้งการผ่าท้องคลอดจากสาเหตุต่างๆ

    – การซักประวัติเด็กดิ้น ซึ่งครรภ์แรกมารดาจะเริ่มรู้สึกว่าเด็กดิ้น เมื่ออายุครรภ์ประมาณ 18 สัปดาห์ และครรภ์หลังประมาณ 16 สัปดาห์

  2. การตรวจร่างกายทางสูติกรรม และการตรวจครรภ์

    กิจกรรมการตรวจร่างกายด้วยเปรียบเทียบขนาดมดลูกกับระยะการขาดประจำเดือน เพื่อวินิจฉัยสภาพของเด็กในครรภ์มารดาว่าอยู่ในลักษณะใด เด็กมีชีวิตอยู่หรือไม่ และเพื่อเป็นการวินิจฉัย ความผิดปกติอื่นๆ ที่อาจเกิดร่วมกับการตั้งครรภ์ เช่น ครรภ์แฝด ก้อนทูมในช่องท้อง ฯลฯ ในการตรวจทุกครั้ง ต้องซักประวัติและตรวจร่างกายดังนี้

    • ทารก

    – อัตราการเต้นหัวใจทารก (Fetal heart rate)

    – ขนาดของทารก (Size of fetus)

    – ปริมาณน้ำคร่ำ (Amount of amniotic fluid)

    – ส่วนนำ และท่าของเด็กในช่วงหลังของการตั้งครรภ์

    – การดิ้นของทารก (Fetal activity)

    • มารดา

    – ความดันโลหิต

    – น้ำหนัก

    – อาการผิดปกติ ได้แก่ ปวดศีรษะ ตาพร่ามัว ปวดท้อง คลื่นไส้ อาเจียนมีเลือดออก มีน้ำออกทางช่องคลอด และปัสสาวะแสบขัด

    – ระยะระหว่าง uterine fundus และ symphysis pubis

    – การตรวจภายในช่วงใกล้คลอดเพื่อยืนยันส่วนนำ สภาพปากมดลูกเพื่อประเมินวันที่คลอด และเพื่อเตรียมความพร้อม

สำหรับการนัดตรวจ ใน 28 สัปดาห์แรก นัดทุก 4 สัปดาห์ หลังจากนั้นนัดทุก 2 สัปดาห์ จนถึง 36 สัปดาห์ และนัดทุก 1 สัปดาห์จนคลอด แต่ถ้าเป็นครรภ์เสี่ยงสูงอาจต้องนัดถี่กว่านี้ ขึ้นอยู่กับความผิดปกติ

  1. การตรวจทางห้องปฏิบัติการ

    การฝากครรภ์ครั้งแรกจะได้รับการตรวจเพื่อหาข้อมูลเกี่ยวกับสุขภาพมารดา เมื่อพบความผิดปกติอาจต้องได้รับการตรวจเพิ่มเติมในห้องปฏิบัติการ

    การตรวจสตรีที่มาฝากครรภ์ครั้งแรก ได้แก่

    – การตรวจ complete blood count

    – การตรวจ blood group และ Rh type

    – การตรวจ VDRL (syphilis screen)

    – การตรวจ Hepatitis B virus screen

    – การตรวจ Rubella antibody titer

    – การตรวจ Anti HIV

    – การตรวจ cervical cytology

    – การตรวจคัดกรองซิฟิลิส (Syphilis) และตรวจ hematocrit หรือ hemoglobin ซ้ำเมื่ออายุครรภ์ 28-32 สัปดาห์

    – การตรวจคัดกรองเบาหวาน ใช้ตรวจเมื่ออายุครรภ์ 24-28 สัปดาห์ โดยการกินกลูโคส 50 กรัม หลังจากนั้นเจาะหาระดับกลูโคสในพลาสมาหลังผ่านไป 1 ชั่วโมง ถ้าเกิน 140 มิลลิกรัม/เดซิลิตรถือว่ามีความเสี่ยง

    – การตรวจทารกเพื่อหาโครโมโซมผิดปกติ โดยการเจาะน้ำคร่ำมาเพาะเลี้ยงเซลล์เพื่อตรวจโครโมโซม ใช้ตรวจเมื่ออายุครรภ์ 16-18 สัปดาห์

  2. การวินิจฉัยความเสี่ยงสูง

    การวินิจฉัยภาวะครรภ์เสี่ยงสูงของมารดา และทารกในครรภ์ที่อาจเกิดอันตรายหรือเกิดภาวะแทรกซ้อนระหว่างการตั้งครรภ์ และขณะคลอดได้ โดยสตรีตั้งครรภ์ที่จัดอยู่ในกลุ่มความเสี่ยงสูง ได้แก่

    • อายุ สตรีที่อายุน้อยกว่า 20 ปี มีโอกาสที่จะเกิดการคลอดก่อนกำหนด ทารกน้ำหนักตัวน้อย และการคลอดยาก จากมารดาเกิดภาวะขาดโภชนาการที่อาจมีผลต่อการพัฒนาของร่างกาย โดยเฉพาะกระดูกเชิงกรานที่ยังเจริญเติบโตไม่เต็มที่ ส่วนสตรีที่อายุมากกว่า 35 ปีมีความเสี่ยงของการคลอดบุตรที่มีโครโมโซมผิดปกติเพิ่มขึ้น เมื่อเทียบกับสตรีที่มีอายุน้อยกว่า 35 ปี

    • จำนวนการคลอดบุตร สตรีตั้งครรภ์ที่เคยคลอดบุตรมากกว่า 4 คนขึ้นไป มีโอกาสเสี่ยงต่อภาวะ placenta previa สูงขึ้น และเสี่ยงต่อการตกเลือดหลังคลอดสูง

    • ความสูง สตรีตั้งครรภ์ที่สูงน้อยกว่า 140 เซนติเมตร มีความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะ cephalopelvic disproportion

    • น้ำหนัก สตรีตั้งครรภ์ที่น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นน้อยกว่า 7 กิโลกรัม ตลอด การตั้งครรภ์ มีความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะทารกน้ำหนักตัวน้อยหรือภาวะทารกเจริญเติบโตช้าใน ครรภ์ (intrauterine growth restriction)

    • ความผิดปกติทางสูติกรรม ได้แก่ การมีเลือดออกระหว่างการตั้งครรภ์ การเจ็บครรภ์ก่อนกำหนด ภาวะ pre-eclampsia และ eclampsia ครรภ์แฝด ครรภ์แฝดน้ำ ทารกมีความพิการแต่กำเนิด ทารกตายในครรภ์ เป็นต้น

    • ผลตรวจเลือดผิดปกติ เช่น VDRL ให้ผล reactive, HBsAg ให้ผลบวก หรือ Anti HIV ให้ผลบวก

    • โรคเบาหวาน หรือมีประวัติเป็นโรคเบาหวานในครอบครัว หรือมีประวัติเคยคลอดบุตรที่มีน้ำหนักตัวมากกว่า 4,000 กรัม

    • โรคทางด้านเลือด ได้แก่ โรคโลหิตจางจากการขาดธาตุเหล็ก และโรคธาลัสซีเมีย เป็นต้น

    • โรคแทรกซ้อนอื่นๆที่อาจเกิดขณะตั้งครรภ์ ได้แก่ โรคความดันโลหิตสูง โรคไต โรคหัวใจ โรคติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ และโรคทางอายุรกรรมอื่นๆ

    • ประวัติความผิดปกติในครรภ์ก่อนๆ ได้แก่ การผ่าตัดคลอดหรือผ่าตัดมดลูก คลอดบุตรก่อนกำหนด ทารกตายในครรภ์ มดลูกแตกหรือภาวะมีเลือดออกก่อนคลอด เป็นต้น

5. การให้คำแนะนำในสตรีตั้งครรภ์
การให้คำแนะนำสำหรับการปฏิบัติตนที่ดี ได้แก่ คำแนะนำเกี่ยวกับการรับประทานอาหาร การพักผ่อนนอนหลับ การขับถ่าย การออกกำลังกาย เสื้อผ้าที่สวมใส่ สันทนาการ การมีเพศสัมพันธ์ การงดการสูบบุหรี่ ดื่มสุรา การมาตรวจครรภ์ตามนัด และสัญญาณอันตรายที่ต้องรีบมาพบแพทย์ ได้แก่
– มีเลือดออกทางช่องคลอด
– บวมตามใบหน้าและนิ้วมือ
– ปวดศีรษะรุนแรง
– ตาพร่ามัว
– ปวดท้องจุกแน่นยอดอก
– อาเจียนรุนแรง
– ไข้ หนาวสั่น
– ปัสสาวะแสบขัด
– มีน้ำออกทางช่องคลอด
– ทารกดิ้นลดลง ทั้งความถี่ และความแรง